การขับขี่ยานพาหนะ นักเรียนจะมีวิธีการลดอุบัติเหตุในการขับขี่ยานพาหนะอย่างไร
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การขับขี่ยานพาหนะ นักเรียนจะมีวิธีการลดอุบัติเหตุในการขับขี่ยานพาหนะอย่างไร
เนื่องจากในยุคปัจจุบันการขับขี่ยานพาหนะถือได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันอีกประการหนึ่งของมนุษย์ไปแล้ว ทั้งนี้หากผู้ขับขี่ไม่ทราบถึงวิธีปฎิบัติและกฎจราจรในการขับขี่ก็จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุนี้อาจจะส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตของผู้ขับขี่หรือผู้อื่นได้ ผู้ขับขี่จึงควรหันมารู้จักถึงวิธีขับขี่ยานพาหนะให้ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎจราจรเพื่อเป็นแนวทางปฎิบัติเดียวกันรวมถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ ดังนี้
การขับขี่รถให้ปลอดภัย
ในการขับรถผู้ขับขี่ต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้ายและต้องไม่ล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถ เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ที่ผู้ขับขี่สามารถขับล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถหรือขับเข้าไปในทางเดินรถด้านขวาได้
1.ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวาง หรือถูกปิดการจราจร
2.ทางเดินรถนั้นเจ้าพนักงานจราจรกำหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว
3.ทางเดินรถนั้นกว้างไม่ถึง 6 เมตร
กรณีห้ามผู้ขับขี่ขับรถ ห้ามผู้ขับขี่ขับรถในกรณี
1. ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ เช่น ภายหลังจากรับประทานยาแก้ไข้หวัด ในขณะง่วงนอน
2. ในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น
3. ในลักษณะกีดขวางการจราจร
4. โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
5. ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาหรือไม่อาจและเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้านได้พอแก่ความปลอดภัย
6 .คร่อมหรือทับเส้นหรือแนวแบ่งช่องรถ เว้นแต่เมื่อต้องการเปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถ
7. บนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ
8. โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
9. ในขณะที่เสพ หรือรับเข้าร่างกาย ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกลุ่มแอมเฟตามีน(ยาบ้า) หรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างอื่น
10. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ
11. ขับรถบนไหล่ทาง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร
12. ใช้ไฟฉุกเฉินขณะขับรถตรงไปเพื่อผ่านทางร่วมทางแยก
13. ขับรถแข่ง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร
ข้อห้ามของผู้ขับขี่รถ
1. ห้ามอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ขับรถของตน
2. ห้ามใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่จัดทำขึ้นเอง
3. ห้ามให้ผู้อื่นใช้ใบอนุญาตขับรถของตน
4. ห้ามใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน
การทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้า
ต้องทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้เราสามารถพิจารณาอย่างง่าย ๆ
ได้โดยขับรถของเราด้วยความเร็วที่คงที่เท่ากับรถคันหน้า เมื่อคันหน้าผ่านจุดหนึ่ง เช่น หลักกิโลเมตรริมถนนรถของเราจะต้องผ่านจุดเดียวกันนั้นในเวลาไม่ต่ำกว่า 2 วินาที (โดยนับหนึ่งพันหนึ่ง เมื่อรถคันหน้าผ่านจุดเดียวกันนั้นและเมื่อเรานับหนึ่งพันสองรถเราจะผ่านจุดนั้นพอดี) หากต่ำกว่านั้นแสดงว่าเราทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าน้อยเกินไป จะทำให้เบรกไม่ทัน เมื่อรถคันหน้าหยุดรถทันทีทันใด
ระยะเบรกที่ปลอดภัย
1. ที่ความเร็ว 20 กม./ชม. ระยะเบรกต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 7 เมตร
2. ที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ระยะเบรกต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 18 เมตร
3. ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ระยะเบรกต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 34 เมตร
4. ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ระยะเบรกต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 54 เมตร
5. ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ระยะเบรกต้องใช้อย่างน้อยที่สุด คือ 80 เมตร
การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก
การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกที่เป็นทางเอกตัดกัน และไม่ปรากฏสัญญาณ หรือเครื่องหมายจราจรผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติอย่างไร
1.ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นขับผ่านไปก่อน
2.ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องหยุดรถให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของคนขับผ่านไปก่อน
ขับขี่พบรถฉุกเฉิน
เมื่อขับขี่พบรถฉุกเฉินจะต้องปฏิบัติ
1.หยุดรถ หรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย แต้ถ้ามีช่องทางเดินรถประจำรถทางให้หยุดชิดกับช่องทางเดินรถประจำทาง แต่ห้ามหยุดหรือจอดรถในทางร่วมทางแยก
2.ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินได้ในระยะไม่ต่ำกว่า 50 เมตร
การใช้ความเร็วตามกฎหมาย
-รถยนต์นั่งในเขต กทม. เขตเมือง เขตเทศบาล ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.นอกเขตไม่เกิน 90 กม./ชม.
-รถกระบะน้ำหนักรวมบรรทุกเกิน 1,200 กก. ในเขตกทม. เขตเมือง เขตเทศบาลความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.นอกเขตไม่เกิน 80 กม./ชม.
การแซง
1. เป็นกฎตายตัวว่าจะต้องแซงขึ้นทางขวาเสมอ
2. เมื่อแซงผ่านขึ้นมาแล้ว ให้ขับรถเป็นแนวตรงทิ้งระยะห่างจากคันที่ถูกแซงพอสมควร เพื่อให้รถที่
ถูกแซงมีเวลาตั้งตัว
3. อย่ากลับเข้าเลนซ้ายในลักษณะเลี้ยวตัดหน้ารถที่ถูกแซงอย่างกระชั้นชิด รักษาอารมณ์อย่าให้
ฉุนเฉียวกับผู้ที่ขับรถคันอื่นที่อยู่รอบข้าง
4. อย่าเร่งเครื่องแข่งกับรถคันที่กำลังแซงอยู่ ปล่อยให้รถที่แซงผ่านไปโดยสะดวกและปลอดภัย
5. ถ้าท่านถูกรถคันอื่นแซง จงขับรถให้ช้าลงหรือเปิดโอกาสให้เขาแซงโดยสะดวก
6. เมื่อได้รับสัญญาณแซงขึ้นหน้าจากรถคันหลังผู้ที่ขับขี่ที่มีความเร็วช้าหรือใช้ความเร็วต่ำกว่ารถคันอื่นที่ขับไป ในทิศทางเดียวกัน ต้องยอมให้รถคันที่ใช้ความเร็วสูงกว่าผ่านขึ้นหน้าและผู้ที่ขับขี่ที่ถูกขอทางต้องปฏิดังนี้ให้สัญญาณเลี้ยวซ้ายตอบ (เปิดไฟเลี้ยวซ้ายหรือให้สัญญาณด้วยมือและแขน)ลดความเร็วขับรถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถเพื่อให้รถที่แซงผ่านขึ้นหน้าโดยปลอดภัย
กรณีใดแซงซ้ายได้
1.รถที่ถูกแซงกำลังเลี้ยวขวาหรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา
2. ทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งเป็นช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันใช้ตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป
ห้ามแซงกรณีใดบ้างเมื่อ รถกำลังขึ้นทางชันขึ้นสะพานหรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมาย
จราจรให้แซงได้
3. ภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางข้ามทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้
หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไห
4. เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่น หรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร เมื่อเข้าที่
คับคัน หรือเขตปลอดภัย
การขึ้นทางลาดชันหรือเนินเขา
การขึ้นที่สูงชันต้องใช้เกียร์ที่เหมาะสมโดยรักษาให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 2,000–
3,000 รอบต่อนาที ซึ่งรอบช่วงนี้จะให้กำลังฉุดลากดีที่สุด การใช้รอบเครื่องยนต์สูง ๆ กำลังการ
ไต่ทางชันจะไม่ดีสิ้นเปลืองน้ำมัน และเครื่องยนต์สึกหรอโดยไม่จำเป็น
การลงทางลาดชันหรือเนินเขา
-ห้ามดับเครื่องยนต์ ปลดเกียร์ว่างหรือเหยียบคลัตช์ค้างไว้ระหว่างการลงเขาอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำ
ให้รถเสีย การทรงตัวจนกระทั่งควบคุมรถไม่ได้ ต้องใช้เกียร์ต่ำกว่าปกติ เพื่อหน่วงความเร็วของรถไว้และใช้เบรกลดความเร็วเป็นระยะ ๆ การใช้เบรกลดความเร็วอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ผ้าเบรกไหม้ได้
การขับรถบนทางโค้ง
เพื่อรักษาการทรงตัวของรถให้ลดความเร็วก่อนที่จะเข้าโค้งและเริ่มเร่งความเร็วตั้งแต่ถึง
ทางโค้งเป็นต้นไป จนกระทั่งออกพ้นจากโค้ง ขณะอยู่ในโค้ง ไม่ควรใช้เบรกอย่างรุนแรง เพราะจะเกิดอาการฝืนโค้งห้ามปล่อยเกียร์ว่าง หรือเหยียบคลัตช์ ระหว่างการเข้าโค้งเพราะรถจะเกิดแรงเหนี่ยวให้หลุดออกจากโค้ง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ปัจจัยด้านคน
1. การดื่มของมึนเมาหรือการใช้สารเสพติด คือผู้ขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมาจากการดื่มของมึนเมาประเภทต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าผู้ขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจร เนื่องจากผู้ขับ อาจจะบังคับรถไปในทิศทางหรือตำแหน่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
2. พฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน และการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร คือ ผู้ขับขี่ยานพาหนะมีพฤติกรรม เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรเกี่ยวกับสัญญาณไฟจราจร ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร กฎจราจรและการใช้สัญญาณไฟของยานพาหนะ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าผู้ขับขี่ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรเนื่องจากผู้ขับขี่อาจจะบังคับรถไปในทิศทางหรือตำแหน่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
3. สภาวะทางกาย คือผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะขณะร่างกายขาดความพร้อมในการควบคุมรถ เนื่องจากร่างกาย
อ่อนเพลียจากการขับรถเป็นเวลานาน และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขับขี่มีโอกาสหลับใน
ปัจจัยด้านยานพาหนะ
1. อุปกรณ์พื้นฐานในการเดินรถ คือ ความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ยานพาหนะที่พร้อมใช้งานได้อย่าเหมาะสม
2. อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย คือ อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงในขณะเกิดอุบัติเหตุลงเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่อยู่ในยานพาหนะนั้น
3. การปรับแต่งสภาพยานพาหนะ คือ ยานพาหนะที่มีการดัดแปลงและใช้งานผิดประเภทส่งผลให้เกิดการลดลงของมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ อันอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้
4. การบรรทุกที่ไม่ปลอดภัย คือ ยานพาหนะมีการบรรทุกน้ำหนักมากเกิน บรรทุกสูงเกินบรรทุกยื่นเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
อุปสรรคทางธรรมชาติ คือ สิ่งที่บั่นทอนความสามารถในการขับขี่ให้ลดลง ที่มีผลมาจากอุปสรรคทางธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ทัศวินัยผู้ขับขี่ลดลงทั้งสิ้นและอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้สิ่งกีดขวางบนช่องทางจราจร คือ วัตถุหรือสิ่งอื่นใดที่ร่วงหล่นบนผิวจราจร หรืออยู่ใตำแหน่งกีดขวางทางจราจร อันส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
ปัจจัยด้านถนน
1. อุปกรณ์ควบคุมการจราจร คือ เครื่องหมายจราจร ป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจรมีสภาพสมบูรณ์และมีการติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ มองเห็นได้ชัดเจนหรือไม่
2. อุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยข้างทาง คือ อุปกรณ์ที่ติดตั้งเพื่อป้องกันมิให้รถที่เกิดอุบัติเหตุวิ่งออกนอกถนน โดยทั่วไปจะติดตั้งไว้บริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงอันตราย
3. ไฟฟ้าส่องสว่าง คือ ไฟฟ้าให้แสงสว่างแก่ผู้ขับขี่ในเวลากลางคืน โดยพิจารณาว่าความสว่างบนถนนในบริเวณนั้นเพียงพอสำหรับการมองเห็นคนหรือสัตว์เดินข้ามถนนหรือไม่
4. สภาพผิวถนน คือ ความสมบูรณ์ของถนนมีความเหมาะสมกับการใช้งานหรือมีข้อบกพร่อง
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด (เรียงตามลำดับ)
1. เมาสุรา
2. ขับรถเร็วเกินกำหนด
3. ตัดหน้ากระชั้นชิด
4. รถจักรยานยนต์ไม่ปลอดภัย (ดัดแปลงรถ)
5. ไม่มีใบขับขี่
6. ทัศนวิสัยไม่ดี
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากเป็นผลดีต่อทั้งตัวผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทางรอบข้าง ทั้งนี้เราจึงต้องปฎิบัติตามกฎจราจรและหลักในการขับขี่รถที่ถูกต้อง เพื่อจะได้เป็นวิธีปฎิบัติซึ่งเป็นที่เข้าใจร่วมกันในการขับขี่ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราของการเกิดอุบัติเหตุลดน้อยลง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)